Wednesday, October 13, 2010

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกกระรอก

กระรอกเป็นสัตว์ฟันแทะ เลี้ยงลูกด้วยนม ที่คล่องแคล่วว่องไว กินผลไม้ และ เมล็ดพืช เป็นหลัก และก็ชอบกินแมลงด้วยเหมือนกัน 


กระรอกที่ถูกมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ค่อนข้างจะเชื่องมากกว่ากระรอกโต แต่การนำกระรอกมาเลี้ยง สถานที่ที่ให้เค้าอยู่ควรเหมาะกับธรรมชาติของเค้า การเลี้ยงในห้อง หรือกรงแคบ ๆ อาจจะได้ในตอนที่เค้ายังเล็กอยู่ แต่เมื่อโตขึ้น ต้องทำกรงใหญ่ให้เค้า หรือดีที่สุด ปลูกต้นไม้ไว้บริเวณบ้านให้เยอะ ๆ  แล้วปล่อยให้เค้าอยู่ตามธรรมชาติจะดีที่สุดเลยค่ะ แล้วเค้าอาจจะสร้างรังอยู่หลังบ้างคุณ หรืออาจจะแวะเวียนมาหาคุณเอง หากคุณมีที่ใส่ผลไม้ให้เค้าเล็ก ๆ แขวนไว้ตามต้นไม้
กระรอกเป็นสัตว์ป่า และไม่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะไม่ค่อยเชื่องนัก บางทีเราคิดว่าเชื่องแต่อยู่ดีๆ ก็อาจจะกัดเราเอาได้ง่าย ๆ แต่อย่าไปโกรธมันนะคะ มันทำตามสัญชาติญาณ ถ้าคนเคยเลี้ยงไปซักพัก คงจะเข้าใจ  แต่ในกรณีใดก็ตาม หากผู้อ่านมีโอกาสได้เลี้ยงลูกกระรอกตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าโดยบังเอิญมันตกลงมาจากต้นไม้มา หรือเนื่องจากพายุฝน  อย่างน้อยมันก็ได้มีโอกาสมีชีวิตรอด เป็นกระรอกที่แสนจะน่ารักอยู่ตามธรรมชาติต่อไปได้


พัฒนาการของลูกกระรอก
ภาพข้างล่างต่อไปนี้ได้มาจากเอกสารภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งนะคะ ซึ่งบอกลักษณะของกระรอกในแต่ละวัย ซึ่งเราจะเห็นพัฒนาการตามรูปค่ะ

กระรอกแรกเกิด -- สัปดาห์ที่ 1
ตาปิดอยู่ ตัวออกสีชมพูและไม่มีขนสำหรับสัปดาห์แรก น้ำหนักประมาณ 10-15 กรัมเมื่อแรกเกิด

















1-2 สัปดาห์

ขนสีดำเริ่มขึ้นที่หัวและการแพร่กระจายลงด้านหลังของพวกเขาถึงหาง
















2-3 สัปดาห์
ขนจะปรากฏชัดขึ้น ตัวสีเข้มขึ้น




















3-4 สัปดาห์
ขนเริ่มหนาขึ้นจากหัวถึงหาง หูเริ่มมีการพัฒนา และเริ่มมีฟันเล็ก ๆ ขึ้น


















4-5 สัปดาห์
ขนหนา หางเริ่มเป็นพวก ตาเปิด  เริ่มเดิน  แต่ก็ยังคงหลับบ่อย




















5-6 สัปดาห์
จะสามารถที่จะนั่งและเดินไปมา และเริ่มซน




















6-7 สัปดาห์
เริ่มปีน, ฟันบนยาวขึ้น อาจเริ่มต้นกินผลไม้ หรืออาหารเองได้ แต่อาจยังต้องป้อนอาหารเหลวบ้าง


















7-8 สัปดาห์
เริ่มปีนป่ายได้คล่องแคล่วมากขึ้น ทานอาหารเองได้




















10-12 สัปดาห์
เริ่มโตเต็มที่





















เพศของลูกกระรอก



จากภาพ:  แสดงให้เห็นความแตกต่างกระรอกเพศผู้และเพศเมีย
ตัวเมียด้านขวา  อวัยวะเพศจะอยู่ต่ำกว่าใกล้ทวารหนัก ส่วนตัวผู้อวัยวะเพศจะอยู่ด้านล่างและสูงขึ้นไปใกล้สะดือ













วิธีให้ความอบอุ่น

หากคุณพบกระรอกตัวเล็ก ๆ ให้รีบนำมันมาไว้ในที่อบอุ่น กระรอกแรกเกิดนั้นควรอยู่ในอุณหภูมิประมาณ 37.5-38.5 องศา วิธีให้ความอบอุ่นแก่ลูกกระรอกนั้นทำได้โดย

1. ใช้ไฟดวงเล็ก ๆ 3-5 วัตต์ ช่วยในการให้ความอบอุ่นได้ และต้องไม่ลืม เรื่องความชื้น โดยอาจวางอ่างน้ำเล็ก ๆ ไว้รอบข้างดวงไฟ แล้วคลุมด้วยตระแกรงเหล็กด้านบนเพื่อกั้นไม่ให้ผ้าสัมผัสกับดวงไฟ เพราะถ้าผ้าเกิดสัมผัสกับดวงไฟที่ร้อนโดยตรง อาจทำให้มันหลอมละลาย และ เกิดไฟไหม้ได้ เสร็จแล้วให้เราวางผ้าทับอีกทีชั้น เพื่อให้ความอบอุ่นสะสมอยู่ในผ้าหนา ๆ หน่อยก็ได้นะคะ มันจะได้ขยับตัวซุกตามความอบอุ่นที่มันต้องการ หมั่นเติมน้ำอย่าให้น้ำด้านล่างแห้ง และอย่าลืมเรื่องอากาศถ่ายเทบ้างนะคะ วางผ้าให้ความอบอุ่น แต่ก็มีที่ๆ อากาศถ่ายเทด้วย 

2. อาจใช้ถุงน้ำร้อนวางไว้ด้านล่าง แล้วใส่ผ้าด้านบน แต่วิธีนี้ต้องคอยเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เพราะสัก 3-4 ชั่วโมง น้ำก็เริ่มไม่อุ่นแล้ว ซึ่งทำได้ยาก และคุณอาจไม่ได้หลับได้นอนเลย อาจใช้ในกรณีที่ต้องเดินทางหรือจำเป็นต้องพกพากระรอกไปไหนเท่านั้น (กรณีต้องไปโรงพยาบาล, หรือต้องเอาไปไหนด้วยเพื่อป้อนอาหาร)

3. หากหาอุปกรณ์ไม่ได้จริงๆ ก็ใช้กล่องเปล่าเฉย ๆ และใส่ผ้าไว้ในนั้น แต่บางครั้งที่อากาศหนาวเย็นมาก อุณหภูมิภายในกรงที่ให้เค้าอยู่ จะต่ำเกินไป จึงจำเป็นต้องให้ความอบอุ่นเพิ่มด้วย

4. อีกวิธีใส่กล่องแล้ววางไว้บริเวณด้านหลังของตู้เย็น ตู้เย็นทำหน้าทีให้ความเย็น แต่ด้านหลังของมันก็อบอุ่นทีเดียว แต่ต้องใส่ภาชนะให้มีพื้นที่สำหรับเค้าแล้ววางไว้ด้านหลัง จะขยับย้ายที่ตามตำแหน่งที่เค้าต้องการ ถ้าร้อนเกินไปเค้าก็จะขยับออกห่างออกมาเอง ถ้าหนาว เค้าก็จะขยับเข้าไปซุกตรงที่อบอุ่นกว่า
และต้องระวังเรื่องมดและแมลง และสัตว์อืื่น ๆ ที่จะมารบกวนได้นะคะ

ทุกวิธีต้องกรักษาความสะอาด และเปลี่ยนผ้าหรือกระดาษทิชชู่อยู่เสมอ ต้องไม่ให้ผ้าเปียกชื้น และคอยควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ประมาณ 37.5-38.5 เพราะถ้าร้อนหรือเย็นเกินไป ลูกกระรอกอาจป่วยและเสียชีวิตได้


การให้อาหารลูกกระรอก
http://www.youtube.com/watch?v=Xm-NKC1OnSo
1. ให้นมถั่วเหลืองปลอดภัยที่สุด  พวกแลคตาซอย ไวตามิลด์ ให้นมอย่างนี้อย่างเดียวได้จนลืมตา และกินผลไม้เลยค่ะ ส่วนซีรีแล็คบางคนก็ว่าใช้ได้ แต่เคยใช้แล้วไม่แนะนำนะคะ เพราะเหมือนมันจะกินแล้วท้องอืดยังไงไม่รู้
2. เวลาป้อนอาหารอย่าป้อนเร็วเกินไป ป้อนทีละหยด ด้านข้างของปากก็ได้ แล้วให้เค้าเลียอาหารเข้าไปเอง หรือจะใช้สริงค์เล็ก ๆ ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาและให้เค้าใช้ปากดูดเข้าไปทีละน้อยตามจังหวะของเค้าเอง ดูวิธีป้อนอาหารตามตัวอย่างในภาพด้านล่างนะคะ   อย่าฉีดอาหารเข้าไปอย่างรวดเร็ว  เพราะจะทำให้กระรอกสำลัก ทำให้เป็นปอดบวมได้ และถ้าให้เยอะเกินไปกระรอกก็อาจจะท้องอืด และตายได้เหมือนกัน
3. ต้องให้อาหารบ่อย ๆ แต่ทีละน้อย ในกรณีลูกกระรอกเล็กอยู่ บางครั้งจะหิว และร้องตลอดเวลา ถ้าไม่ได้กินจะเกิดอาการเครียด และถ่ายเป็นฟอง
4. ห้ามให้นมวัว  จะทำให้กระรอกท้องเสีย และตายได้ บางครั้งถ้าจำเป็นจะให้ก็ต้องเจือจางกับน้ำ


5. กรณีที่มีลูกกระรอกหลายตัว อย่าปล่อยให้หิว ต้องคอยดูตลอด เพราะถ้าเราไม่อยู่หรือปล่อยให้หิว อะไรอยู่ข้าง ๆ มันจะคิดว่าเป็นแม่มันหมด บางทีหิวขึ้นมาอีกตัวอยู่ใกล้ ๆ ก็จะถูกดูดจนเป็นจ้ำ ๆ  และช้ำตายได้เลยค่ะ ดังนั้นถ้าให้ปลอดภัย ควรแยกแต่ละตัวไว้คนละที่กัน แต่กรณีที่สามารถป้อนได้บ่อยครั้ง ก็รวมไว้ในที่เดียวกันก็ได้ค่ะ กระรอกจะได้อยู่กันอย่างอบอุ่น และเลี้ยงรวมกันได้เมื่อโตขึ้นด้วย
7. เวลาให้อาหารเสร็จต้องคอยรักษาความสะอาด เปลี่ยนผ้าบ่อย ๆ  การใช้ทิชชู่แทนผ้าก็ทำให้สะดวกขึ้นในการทำความสะอาด ใช้ปลายสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณปากไม่ให้มีคราบอาหาร
8. บางครั้งต้องกระตุ้นลูกกระรอกในการขับถ่ายด้วย ทุกครั้งหลังอาหารใช้ปลายสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณทวาร เบา ๆ  วิธีนี้จะทำให้ลูกกระรอกขับถ่ายออกมาได้ หากทวารแห้งและกระรอกไม่ขับถ่าย ลูกกระรอกอาจเสียชีวิตได้









หมายเหตุ : กรณีกระรอกไม่สบาย และต้องการพาไปหาสัตวแพทย์ ให้ไปที่โรงพยาบาลสัตว์ ม.เกษตร จะดีที่สุดนะคะ เพราะที่นั่นมีคลีนิคสำหรับสัตว์พิเศษด้วย   ก็คือ สัตว์อื่น ที่ไม่ใช่หมา แมว  (โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เลขที่ 50 ถ.พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-2942-8756-9)





ที่มา : Squirrel Rescue  359 N. Sweetzer Ave. Los Angeles, CA 90048 (323) 651-1336

Tuesday, October 12, 2010

หวัดและไข้หวัดใหญ่

แม้มันจะเป็นแค่ "หวัด" แต่ก็สร้างความหงุดหงิดรำคาญให้คุณได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่ทำให้คุณรู้สึกป่วยจนทำงานไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณลงมือแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ อาการที่หนักหนาก็จะบรรเทาลง อาวุธที่ใช้สู้กับไข้หวัดมีตั้งแต่สมุนไพร ซุปไก่ ธาตุสังกะสี รวมถึงไดร์เป่าผม ทันทีที่คุณเริ่มจาม ขณะที่ยาแก้หวัดทั่วไปมักทำให้คุณอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับ และไม่ได้ช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้นเลย วิธีเยียวยาต่อไปนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเร่งให้ไข้หวัดหายเร็วขึ้น

ตัดไฟเสียแต่ต้นลม
* เมื่อเริ่มมีอาการหวัด ให้อมยาอมสังกะสีชนิดซิงค์กลูโคเนต (zinc gluconate) ทุก 2-3 ชั่วโมง การศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่อมลูกอมที่มีแร่ธาตุสังกะสีผสมอยู่ 13 มก. ทุก 2 ชั่วโมง จะหายหวัดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้อมลูกอม 3-4 วัน แต่ไม่ควรใช้เกินวันละ 150 มก. และไม่ควรใช้นานเกินสัปดาห์ เพราะการได้รับสังกะสีนานๆ กลับจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อย่าเลือกลูกอมที่มีกรดซิตริกหรือสารให้ความหวานซอร์บิทอล เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของสังกะสีด้วยลง

* ดื่มชาเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ (elderflower) ใส่ดอกเอลเดอร์ฟลาวเวิอร์แห้งราว 2-5 กรัมลงในน้ำเดือด ทิ้งไว้ราว 5-10 นาทีแล้วกรองออก ดื่มชานี้อย่างน้อยวันละ 3 ถ้วย

* เมื่อเริ่มมีอาการจาม ให้สูดผงวิตามินซีเข้าทางจมูก (ผงวิตามินซีหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) การสูดเอาวิตามินซีเข้าเยื่อเมือกในจมูกโดยตรงเป็นการยับยั้งไวรัสก่อนที่อาการหวัดจะออกฤทธิ์เต็มตัว แต่คุณอาจรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย

รักษาหวัดแต่เนิ่น ๆ
* เมื่อใดที่สังเกตว่าคุณมีอาการของหวัดหรือหวัดใหญ่ ให้เริ่มกินวิตามินซี 200 มก. วันละ 5 ครั้งพร้อมอาหาร ควรเลือกชนิดที่เสิรมไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavanoid) เพราะมีการศึกษาพบว่าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินซีได้มากถึง 35% แต่ถ้ากินแล้วท้องร่วงก็ลมปริมาณลง


* กินแคปซูลอึ้งคี้ (ปักคี้) ขนาด 200 มก. วันละ 2 ครั้งจนกว่าจะหาย อึ้งคี้มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และพบว่าเป็นยารักษาหวัดได้ชะงัด แม้ว่าหวัดจะหายแล้วแต่ควรกินอึ้งคี้ต่อไปครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้งจนครบสัปดาห์ เพื่อป้องกันกลับมาเป็นหวัดอีก

* สมุนไพรโกลเดนซีล (goldenseal) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีสารฆ่าเชื้อที่ทำลายไวรัสได้ เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าป่วย ให้กินสารสกัดโกลเดนซีล 125 มก. วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน โดยคุณอาจกินเดี่ยว ๆ หรือเลือกชนิดที่ผสมเอคิเนเซีย (echinacea) 200 มก. ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเช่นกัน

อาวุธต้านไข้หวัดใหญ่
* ชาวยุโรปใช้เอลเดอร์เบอร์รี (elderberry) เป็นตัวยาต้านไวรัสกันมานานนับศตวรรษ จึงมีคำแนะนำว่า เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ให้กินทิงเจอร์เอลเดอร์เบอร์รี 20-30 หยด วันละ 3-4 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าคนที่กินเอลเดอร์เบอร์รีจะหายจากไข้หวัดใหญ่เร็วกว่าคนที่ไม่กิน หรือจะเลือกอมลูกอมเอลเดอร์เบอร์รีแทนก็ได้ (ลูกอม 6 เม็ดต่อวันจนกว่าอาการจะหมดไป)


* อาจใช้การรักษาแบบโฮมิโอพาธีโดยกินออสซิลโลคอกซินัม (Oscillococcinum) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดใหญ่ ควรเริ่มใช้ภายใน 12-48 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการครั้งแรก ยานี้จะบรรจุในขวดแก้วเล็ก ๆ ให้กิน 1 ขวด ทุก 6 ชั่วโมง

* ใช้เอ็น-อะซิทิลซิสเตอีนหรือแน็ก (NAC) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนซิสเตอีนรูปหนึ่ง จะช่วยขับน้ำมูกและทำให้น้ำมูกใส รวมทั้งลดอาการต่างๆ ของไข้หวัดใหญ่ วิธีใช้คือ กินแน็ก 600 มก. วันละ 3 ครั้ง

บรรเทาอาการเจ็บคอ
* อมน้ำเกลือ ที่ทำจากเกลือ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำอุ่น 250 มล. เกลือจะบรรเทาอาการเจ็บคอ


* ยาแก้เจ็บคอที่ใช้กันมานานาแต่ก็ยังใช้ได้ผล คือน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาว เพราะสภาพกรดในปากจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียและไวรัสได้


ซุปไก่ต้านหวัด
* ซุปไก่ร้อนๆ เป็นสุดยอดยาแก้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ พบหลักฐานยืนยันว่าซุปไก่สามารถยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิล (neutrophil) ไม่ให้มารวมตัวกันจนทำให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเยื่อเมือกเป็นจำนวนมาก ซุปไก่จะทำให้น้ำมูกใสขึ้นได้มากกว่าน้ำร้านเปล่าๆ คุณควรกินซุปไก่ทำเองดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคนที่ห่วยใยทำกับมือ (ดู ซุปสุขภาพนานาชาติ หน้า 108)


* สับกระเทียมสด ๆ ใส่สงในน้ำซุปด้วย ในสมัยโบราณฟาโรห์อียิปต์ทรงใช้กระเทียมฆ่าเชื้อโรค สรรพคุณรักษาโรคของกระเทียมจึงเล่าขานกันมาในตำนาน สารออกฤทธิ์สำคัญในกระเทียมคือ อัลลิซิน (allicin) และอัลลิน (allin) การทดสอบในหลอดทดลองพบว่าสารสองชนิดนี้ฆ่าเชื้อโรคได้ทันที กระเทียมยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยเซลล์เพชฌฆาตออกมาฆ่าเชื้อโรค


อย่าปล่อยให้คอแห้ง
* ร่างกายที่กำลังต่อสู้กับไข้หวัดมักขาดน้ำ คุณจึงควรดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยต้องดื่มให้ได้ 8 แก้ว (ขนาด 250 มล.) เพื่อให้เยื่อเมือกไม่แห้ง และบรรเทาอาการตาแห้งหรืออาการอื่น ๆ ของไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้น้ำจะช่วยให้น้ำมูกเหลว และสั่งน้ำมูกง่าย


* ควรอยู่ในที่อากาศอบอุ่น มีความชื้น และอากาศถ่ายเทดี เพื่อให้อาการในห้องมีความชื้นทำให้น้ำมูกไหลได้สะดวก วางอ่างใส่น้ำไว้ในห้องหรือเปิดเครื่องทำความชื้น หรือเปิดฝากาต้มน้ำร้อนไฟฟ้าไว้โดยปล่อยให้น้ำเดือดไปเรื่อยๆ ไอน้ำจากกาจะลอยอยู่ในห้อง


ตัวยาที่มาพร้อมกลิ่นฉุน
* การกินกระเทียมซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติจะช่วยกำจัดไวรัสหวัด เคี้ยวกระเทียมสดกลีบใหญ่ ๆ ให้กลิ่นกระเทียมเข้าไปในลำคอและปอด หากกระเทียมเริ่มนิ่มและกลิ่นรุนแรงจนคุณทนไม่ไหว ให้รีบเคี้ยวแล้วกลืนพร้อมกับดื่มน้ำตาม


* ถ้าไม่อยากเคี้ยวกระเทียมคุณอาจเลือกกินกระเทียมในแบบแคปซูลก็ได้ กระเทียมสกัดเข้มข้นขนาดแคปซูลปกติมักเป็น 400-600 มก. วิธีใช้คือ กินวันละ 4 ครั้งพร้อมอาหาร ตามมาตรฐานควรมีสารอัลลิซินผสมอยู่ 4,000 ไมโครกรัม ถ้ากินกระเทียมสดแล้วมีอาการอาหารไม่ย่อย มีลมในท้อง หรือท้องเสีย ก็ควรเลือกแบบแคปซูลเพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงดังกล่าว


ทำอย่างไรให้จมูกโล่ง
* คุณสามารถบรรเทาอาการคัดจมูกโดยกินขิงสด แต่ควรกินหลังอาหาร เพื่อไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้อง


* ดื่มน้ำขิง อาจดื่มน้ำขิงสำเร็จรูปหรือทำเองโดยใช้ขิงขูดฝอย 1/2 ช้อนชาใส่ลงในน้ำร้อน ขิงจะช่วยระงับการผลิตสารที่ทำให้หลอดลมตีบตันและคัดจมูก ในขิงมีสารจิงเจอรอล (gingerol) ซึ่งมีฤทธิ์ระงับการไออีกด้วย

* เพิ่มรสชาติเผ็ดจัดจ้านในน้ำซุปที่กิน เช่น เติมพริกป่น ซอสพริก ซอสทาบาสโก หรือวาซาบิลงไป ซุปรสชาติเผ็ดร้อนช่วยบรรเทาอาหารคัดจมูกได้ดีกว่ากินซุปเปล่าๆ แค่เติมอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปก็ช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้นทันที ถ้ารู้สึกเบื่ออาหารคุณอาจเปลี่ยนมาซดน้ำต้มยำแทนก็ได้ ในต้มยำมีเครื่องเทศหลายชนิดทั้งขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริก นอกจากสรรพคุณช่วยรักษาอาการหวัดแล้ว ยังช่วยให้เจริญอาหาร

* สวมถุงเท้าเปียกขณะนอนหลับ ถุงเท้าเปียกเป็นวิธีรักษาโรคตามแนวธรรมชาติที่ช่วยลดไข้ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น เพราะเลือดจะถูกดึงไปที่เท้า เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนโดยอัตโนมัติ (เลือดจะไหลเวียนไม่สะดวกในบริเวณที่เกิดการคั่ง) ก่อนเข้านอนให้แช่เท้าในน้ำค่อนข้างร้อน จากนั้นนำถุงเท้าไปแช่ในน้ำเย็น บิดน้ำออกแล้วนำมาสวม โดยสวมถุงเท้าแห้งทับอีกชั้นก่อนเข้านอน ถึงตอนเช้าถุงเท้าที่เปียกจะแห้ง คุณจะรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่วิธีนี้ควรทำให้ห้องที่มีความร้อนพอสมควร อย่าสวมถุงเท้าเปียกเข้านอนหากอุณหภูมิห้องเย็นเกินไป

* แช่เท้าในน้ำมัสตาร์ด ใส่ผงมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำร้อน 1 ลิตรในอ่าง หรือกะละมังซักผ้า มัสตาร์ดช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาที่เท้าจึงลดอาการหลอดเลือดตีบตัน

* วิธีเก่าแก่ในการแก้หลอดเลือดคั่งบริเวณทรวงอกคือ การพอกมัสตาร์ดบดเมล็ดมัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้ผงมัสตาร์ด 1/2 ถ้วย) ผสมแป้ง 1 ถ้วยหรือข้าวโอ๊ตอบกรอบป่นละเอียด คนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ทาปิโตรเลียมเจลลีบนหน้าอกเพื่อปกป้องผิว แล้วนำมัสตาร์ดมาพอก กลิ่นฉุนของมัสตาร์ดจะทำให้โพรงจมูกโล่ง และความร้อนจะช่วยให้เลือดบริเวณอกไหลเวียนสะดวกขึ้น แต่อย่าพวกไว้นานเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ผิวหนังไหม้

ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
* รินน้ำร้อนลงในชามอ่าง ก้มหน้าลงไปใกล้ ๆ โดยใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวไว้ เพื่อทำเป็นกระโจมอบไอน้ำที่กักไอร้อนไว้ภายใน สูดหายใจเอาไอน้ำเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก ทำอย่างนี้ประมาณ 5-10 นาที แต่อย่าก้มหัวให้ชิดน้ำร้อนเกินไป เพราะน้ำอาจลวกใบหน้า หรือไอที่สูดเข้ามาอาจจะร้อนเกินไป คุณควรวางชามหรืออ่างน้ำร้อนไว้บนโต๊ะที่มั่นคง ห้ามวางบนเตียงเป็นอันขาด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้หากไม่ระวัง


* ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิผล ให้เหยาะน้ำมันไทม์ (thyme oil) หรือน้ำมันยูคาลิปตัสปริมาณเล็กน้อยลงในอ่างน้ำร้อนด้วย แต่ตอนที่สูดไอน้ำเข้าไปต้องหลับตาไว้ เพราะไอน้ำที่ผสมกับน้ำมันหอมอาจระคายเคืองตา

* หยดน้ำมันยูคาลิปตัสลงในผ้าเช็ดหน้า เมื่อไหร่ที่รู้สึกหายใจไม่ออกให้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสูดดม

คอเคล็ด
* คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่จะรู้สึกคอเคล็ดอย่างรุนแรง เพื่อบรรเทาความปวดให้เอาฟ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ ใส่ในถุงพลาสติก แล้วเอาเข้าเตาอบไมโครเวฟ 60 วินาที หรือแค่จุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำร้อนแล้วบิด ระวังอย่าให้ริ้นเกินไป นำผ้าขนหนูมาห่อรอบบริเวณไหล่และลำคอแล้วนอนลง (ควรปูผ้ารองไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เตียงเปียก) ใช้ผ้าขนหนูแห้งพันทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันความร้อนไม่ให้ออกไป


ป้องกันไว้ก่อน
* ในช่วงที่เป็นหวัดหรือไข้หวัดง่าย อาจป้องกันไว้ก่อนโดยกินเอคิเนเซียขนาดแคปซูลละ 200 มก. วันละ 3-4 ครั้ง สลับกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น อึ้งคี้ (หรือปักคี้) โกลเดนซีล (goldenseal) และโปด์อาร์โก (pau d' arco)


* ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือในช่วงที่ทำงานร่วมกับคนป่วย ในปี 1998 การศึกษาหนึ่งในสหรัฐฯ ได้สั่งให้ทหารเรือที่เกณฑ์เข้ามา 40,000 นายล้างมือวันละ 5 ครั้ง ผลปรากฎว่าทหารเหล่านั้นมีอัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจลดลงถึงร้อยละ 45

* ไม่ควรใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสใบหน้าหรือหยิบจับอาหาร ถ้าคุณต้องเดินทางบ่อยๆ อาจพกเจลทำความสะอาดมือขวดเล็ก ๆ ไว้ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้อ่างล้างมือได้

* แม้จะดูว่าเสียมารยาทไปบ้าง แต่คุณควรหลีกเลี่ยงการจับมือกับคนที่กำลังเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่

* ฝึกฝนและใช้เทคนิคการผ่อนคลายเป็นประจำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่หวัดและไข้หวัดใหญ่ระบาด มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าความเครียดทำให้คนเราป่วยง่ายขึ้น

* พักผ่อนให้เพียงพอ คนส่วนใหญ่ เป็นหวัดหรือไข้หวัดในช่วงที่โหมงานหนักจนไม่ค่อยได้หลับได้นอน ดังนั้นควรลางานและพักผ่อนให้เพียงพอ มีการศึกษาพบว่าถึงแม้จะขาดนอนไปเพียงนิดเดียว การต้านไวรัสจะลดลงอย่างมาก ในการศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า คนที่นอนน้อยลงกว่าที่ควรเพียงคืนเดียว จะทำให้ร่างกายมีเซลล์คุ้มกันชนิดที่คอยควบคุมการติดเชื้อไวรัส ลดลงถึงร้อยละ 30

ที่มา:  1001 ตำรับยาใกล้ตัว ISBN 974-7784-31-9